ผมเป็นเพียงแนวร่วมเป็นฟันเฟืองเล็กๆของการชุมนุม
อาศัยเป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยในพื้นที่ๆเคยทำ กิจกรรมใน
มหาวิทยาลัย
มีครูอาจารย์ที่เคารพรักหลายๆท่านที่เมตตาและคอยชี้แนะให้กำ ลังใจในการ
ทำ กิจกรรมเพื่อส่วนรวม
การเข้าร่วมในกรุงเทพฯเมื่อเหตุการณ์ยืดเยื้อก็เดินทางกลับสงขลาในขณะที่
ในมหาวิทยาลัยก็มีนักศึกษาจำ น
วนหนึ่งนั่งอดข้าวประท้วงรัฐบาลกันอยู่แล้วหลายวัน
การชุมนุมปี2535ไม่มีอะไรซับซ้อน มีการตั้งเวทีทั้งที่ในมหาวิทยาลัยและ
หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่
สุดท้ายก็ไหลมารวมกันที่หน้าศาลากลางจังหวัดสงขลา แต่ละคืนมีประชาชน
มารวมตัวกันเรือนหมื่น
มีนักการเมืองนักกิจกรรมทางสังขึ้นปราศรัยสลับกับการเล่นดนตรี
จบลงด้วยการนอนเฝ้าเวทีจนการชุมนุมครั้งนั้นยุติลง (พล.อ.สุจินดา ครา
ประยูรลาออก )
บทเรียนสำ หรับผมในครั้งนั้นเอาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมในครั้ง
นั้นคือได้รับรู้ขบวนการการจัดการชุ
มนุมเหมือนยืนมองยืนสังเกตุจากริมรั้ว เป็นแค่คนๆหนึ่งที่นอนเฝ้าเวที
หลังปิดเวทีในแต่ละคืน ....
การชุมนุมเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ มีเงื่อนไขปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย
ในครั้งต่อไปจะเรียนนำ เสนอบทเรียนที่มีส่วนเข้าไปสู่การชุมนุมของชุมชน
โดยจะเริ่มต้นจากการชุมนุมของ
พี่น้องประมงพื้นบ้านต่อกรณีปัญหาเรือปั่นไฟจับปลากะตักในปี2542
ที่เป็นการชุมนุมใหญ่ของพี่น้องประมงพื้นบ้านในจังหวัดสงขลามีการนำ
เรือปิดท่าเรือน้ำ ลึกสงขลา
เดินทางด้วยขบวนรถยนต์สู่กรุงเพทพฯเป็นการชุมนุมที่ต่อเนื่องยาวนาน
มีองค์ประกอบของตัวละครมากมายทั้งที่เป็นผู้นำ ในชุมชน
หน่วยงานราชการที่เกี่ยวของตลอดถึงพรรคการเมือง
นักการเมืองมากหน้าหลายตาที่ผมมีโอกาสสัมผัสและเห็นบทบาทของ
พวกเขาในการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญ
หา
สงขลาบ้านเราคือสนามของการชุมนุมมากมายหลายครั้ง บทเรียนแต่ละ
เหตุหารณ์ที่เกิดขึ้นและจบลง
ควรจะได้รับการบันทึกไว้ให้ลูกหลานได้เรียนรู้...ผมหวังไว้เช่นนั้นครับ