เรื่องเด่นสัปดาห์นี้
293 Share
ปีที่ 1 ฉบับที่ 1
15 - 30 พฤศจิกายน 2565
หน้า 3/14
กลับหน้าแรก
เอกสารพุทธศตวรรษที่ 13 ของนักเดินเรือชาวจีนชื่อจางฉุ่น พูดถึงเมืองสงขลาในนาม เส็งเฉอะ (เมืองสิงห์) ต่อมา จาวจูกัว นายด่านที่เมืองกวางตุ้ง เรียก ซิงกอรา และ มาหวนนักเดินเรืออีกคนหนึ่ง ระบุที่ตั้งของเมืองซุนกุนนา (ซิงกอรา) ที่ละติจูด 7 องศา 11 ลิปดา แผ่นดินนี้มีคนพื้นเมืองอยู่อาศัยเป็นบ้านเป็นเมืองมานานนับพันปี และได้รับอิทธิพลจากอินเดียมาไม่น้อย

ตอนเป็นนักศึกษาอาจารย์บางท่านพูดถึงสงขลาว่าเจ้าเมืองแขกตั้งตัวเป็นใหญ่ และถูกปราบราบคาบในสมัยพระนารายณ์ พอได้มาอยู่สงขลาจริงๆ ได้เห็นซากป้อมค่ายบนเขาแดง ได้เห็นสุสานสุลต่านสุไลมาน สุสานดัชท์ฮอลันดา อัศจรรย์ใจการก่อสร้างกำแพงหินอย่างฝรั่ง ไม่ใช่กำแพงอิฐอย่างที่เห็นทั่วไปในภาคอื่นๆ เอกสารฮอลันดาบอกว่า เมืองสงขลาเขาแดงเป็นเมืองท่าค้าขาย เพราะทำเลที่ตั้งเหมาะสม จอดเรือได้ดี ชาวต่างชาติทั้งจีน อาหรับ และฝรั่งมาค้าขายได้อย่างเสรี สงขลาเติบโตก้าวหน้าจนอยุธยาไม่สบายใจ ต้องส่งกองกำลังมาปราบปรามดังปรากฏในพงศาวดารนั้นแล

สมัยกรุงธนบุรีถึงต้นรัตนโกสินทร์ชาวจีนมีบทบาทในฐานะตัวกลางเชื่อมกับอำนาจรัฐส่วนกลาง เริ่มจากเป็นต้นตระกูล ณ สงขลา นายเหยี่ยง แซ่เฮ่า ชาวทุ่งหวังได้เป็นนายอากรรังนก ย้ายมาอยู่ที่บ้านหัวเขา ควบคุมทางเข้าออกทะเลสาบ และต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าเมืองสงขลา สายตระกูลนี้สืบทอดมาจนถึงยุคการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5

ประวัติศาสตร์ที่มีชนหลายชาติหลายภาษาเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ประสมประสานวัฒนธรรมได้อย่างกลมกลืน ชาวเมืองอยู่อย่างสุขสบายมาจนถึงทุกวันนี้ ถือเป็นมรดกล้ำค่าที่ชาวสงขลาพึงภาคภูมิใจ